เป็นทางออกที่อะลุ่มอล่วย แบบถอยคนละครึ่ง ได้ดีครับ น่าที่ทางฝ่ายสาธารณสุขของไทย จะนำมาพิจารณาด้วยเหมือนกันนะ
คือ จากการเริ่มฉีดวัคซีนโรค covid-19 แบบ mrna ให้เด็กและวัยรุ่น ซึ่งมีประโยชน์มากในการป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็นำมาซึ่งความกังวลของแต่ละคน เพราะมีรายงานของภาวะข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้ยาก อย่างการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบขึ้น
ประเด็นคือ ภาวะดังกล่าวนั้นจะเริ่มเกิดมากขึ้นในการฉีดเข็มที่ 2 แม้ว่าจะยังอยู่ในอัตราส่วนที่น้อยมากๆ อยู่ดี และที่พบนั้นทุกรายก็สามารถรักษาหายได้
(ตามรายงานข่าวนี้ บอกว่า ความเสี่ยงที่จะเกิดกับกลุ่มอายุ 18-24 ปี อยู่ที่ 18.5 ต่อ 1 ล้านโดส เมื่อได้รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่ 2 และมีความเสี่ยง 202. ต่อ 1 ล้านโดส เมื่อได้รับวัคซีนโมเดอร์นาเข็มที่ 2 และความเสี่ยงจะลดลงตามอายุ )
ดังนั้น ทางออกหนึ่งที่ทำได้คือ ก็ฉีดแค่เข็มเดียวไปเลย เพราะคาดว่าประสิทธิภาพของวัคซีนเข็มเดียว ก็น่าจะช่วยเรื่องการป้องกันและควบคุมโรคในเด็กและวัยรุ่นได้เพียงพอ แถมคนในวัยนี้ค่อนข้างจะป่วยจากโรค covid ในอัตราส่วนที่น้อยกว่าผู้ใหญ่และผู้สูงอายุมาก
อาจจะยิ่งเหมาะกับของไทยเรา ในสภาวะที่มีปริมาณวัคซีนไฟเซอร์นำเข้ามาค่อนข้างน้อย การฉีดเข็มเดียวอาจจะยิ่งทำให้เพิ่มจำนวนของเด็กและวัยรุ่นที่ฉีดวัคซีน เพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 เท่าทีเดียวครับ
------
(รายงานข่าว)
คณะกรรมการสุขภาพฮ่องกงแนะนำรัฐบาลให้ฉีดวัคซีนต้านโควิดเทคโนโลยี mRNA ให้แก่กลุ่มวัยรุ่นเพียงแค่โดสเดียว หลังพบผลข้างเคียงกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
ศาสตราจารย์ เหลา ยู่ หลัง ประธานคณะกรรมการสุขภาพฮ่องกง ให้คำแนะนำแก่รัฐบาลเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนให้แก่กลุ่มเยาวชนอายุ 12-17 ปี ว่าควรที่จะฉีดวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA อย่างวัคซีนจากค่ายไฟเซอร์และโมเดอร์นา เพียงแค่ 1 โดสเท่านั้น หลังพบผลข้างเคียงจากการใช้วัคซีนเป็นอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมากกว่าที่คิด ดังนั้นทางผู้เชี่ยวชาญจึงเห็นตรงกันว่า จะเป็นการดีกว่าหากจะฉีดวัคซีนให้กลุ่มเยาวชนเพียงโดสเดียว เพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบลง
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขข้อมูลที่ชัดเจนที่เกิดขึ้นในฮ่องกงให้สื่อมวลชนได้ทราบ แต่เบื้องต้นมีรายงานว่าพบวัยรุ่นมากกว่า 30 คนที่เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแล้ว นับตั้งแต่รัฐบาลฮ่องกงเริ่มกระจายวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
โดยฮ่องกงใช้วัคซีนต้านโควิด-19 จาก 2 ค่าย ได้แก่ ซิโนแวคที่จะฉีดให้ผู้ใหญ่ และกลุ่มเยาวชนที่จะฉีดวัคซีนจากไฟเซอร์เท่านั้น โดยขณะนี้กลุ่มอายุ 12-17 ปี กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว แต่ยังไม่มีตัวเลขที่แน่ชัดว่าได้ใช้วัคซีนไปแล้วทั้งหมดกี่โดส
ด้านผู้กำกับดูแลด้านสาธารณสุขในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และองค์การอนามัยโลก เคยระบุก่อนหน้านี้ว่า วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA อย่างไฟเซอร์ และโมเดอร์นา มีความเชื่อมโยงกับเคสที่พบได้ยากของกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ แต่ประโยชน์ที่ได้จากการฉีดวัคซีนก็ยังคงมีมากกว่าความเสี่ยง ขณะที่ไฟเซอร์เองยอมรับถึงผลข้างเคียงนี้ว่า มีรายงานการเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็เกิดขึ้นได้ยาก
โดยภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ จนลดความสามารถในการสูบฉีดเลือด จนทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ ส่วนภาวะเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบคือ การอักเสบของเนื้อเยื่อห่อหุ้มหัวใจซึ่งมี 2 ชั้น หุ้มล้อมรอบหัวใจและส่วนของหลอดเลือดใหญ่ทั้งหมดที่ต่อเข้ากับหัวใจ ซึ่งความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเหล่านี้กับกลุ่มอายุ 18-24 ปี อยู่ที่ 18.5 ต่อ 1 ล้านโดส เมื่อได้รับวัคซีนจากไฟเซอร์โดสที่ 2 และมีความเสี่ยง 202. ต่อ 1 ล้านโดส เมื่อได้รับวัคซีนจากโมเดอร์นาเข็มที่ 2 และความเสี่ยงจะลดลงตามอายุ